
ถ้าพูดถึงในช่วงนี้ ก็มีอีกหนึ่งประเด็นร้อนในตลาดหุ้นที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้เลย คือเรื่องของรัฐบาลให้ยาเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าควบคุมประจำปี 2562 (หรือที่เราเรียกกันสั้นๆง่ายๆว่า มาตรการควบคุมราคายา) ซึ่งจะส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์เข้าไปดูแลเรื่องราคาได้และกลายเป็นฝันร้ายของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลนั่นเองค่ะ
ผลกระทบจากมาตรการ
เป็นที่แน่นอนว่ากลุ่มโรงพยาบาลเอกชนน่าจะได้รับผลกระทบและส่งผลเชิงลบต่ออุตสาหกรรม แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับราคายาที่ถูกกำหนดออกมาใหม่ แต่จากการให้สัมภาษณ์ของ รมว.พาณิชย์ ออกมาค่อนข้างผ่อนคลาย จากบทสัมภาษณ์บางส่วน เช่น “อยากชี้แจงให้ชัดเจนว่า การเข้าเป็นบริการควบคุมนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะไปคุมราคาขั้นสูงสุดกับการรักษาพยาบาล เพราะค่ารักษาพยาบาล เป็นบริการที่มีความเฉพาะเจาะจง ไม่ได้เป็นสินค้าทั่วไป” และ “ครม.ต้องการให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเข้าใจดีว่าในฝั่งประชาชนก็ต้องดูแลให้โปร่งใส ส่วนฝั่งผู้ประกอบการก็ต้องแข่งขันได้ เติบโตได้ และเป็น medical hub ต่อไปในอนาคต”
ข้อดีจากมาตราการ
กลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นกลุ่มคนที่ใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนแบบจ่ายเอง บริษัทประกันสุขภาพที่ต้องรับภาระค่าบริการจ่ายโรงพยาบาลเอกชน รวมถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับพนักงานที่เข้าโรงพยาบาลเอกชน
มุมมองนักวิเคราะห์
ในระยะสั้นเรื่องของมาตรการควบคุมราคายังคงเป็นปัจจัยกดดันราคายา แต่นักวิเคราะห์ยังคงมองว่าในระยะยาวหุ้นกลุ่มนี้จะยังคงเติบโตได้ ธุรกิจบริการทางการแพทย์ยังติดโผรายชื่ออันดับธุรกิจดาวรุ่งปี 2562 จากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ใช้เกณฑ์ในการพิจารณาและให้คะแนนที่หลากหลาย อาทิเช่นข้อมูลการนำเข้าและส่งออก, ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสากรรม ความเชื่อมั่นธุกิจ ตลาดหลักทรัพย์ ไปจนถึงผลสำรวจต่างๆ จนได้อันดับธุรกิจดาวรุ่ง เป็นอันดับ 2 รองจากธุรกิจ E-commerce เพียงเท่านั้น หลังจากมีข่าวออกมาราคาหุ้นในกลุ่มก็ปรับตัวลดลง นักวิเคราะห์จึงมองเป็นโอกาสซื้อเพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว หรือจะซื้อเพื่อเล่นสั้นตาม sentiment ข่าว โดยหุ้น Top Pick ในกลุ่มคือ BDMS (BDMS24C1909A)
Post Views: 5,368